ไวตาเมท แมกฟิชออยล์
หมวดหมู่ : Vitamate ,  ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ,  Vitamate , 
แบรนด์ : Vitamate
Share
Vitamate Fish oil TS
ไวตาเมท ฟิชออยล์ ทีเอส
PRODUCT OF USA
ใน 1 เม็ด ประกอบด้วย
· Fish Oil(น้ำมันปลา) ประกอบด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวโอเมก้า-3 ชนิดอีพีเอและชนิดดีเอชเอ
คุณสมบัติ
น้ำมันปลา(Fish Oil)จากธรรมชาติอุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน(Polyunsaturated Fatty Acid-PUFA) ชนิดโอเมก้า-3 ได้แก่ ดีเอชเอ(Docosahexaenoic acid - DHA) และอีพีเอ(Eicosapentaenoic acid - EPA) น้ำมันปลาได้จากส่วนของเนื้อปลาและตับปลาหลายชนิด เช่น ปลาค็อด ปลาแม็คเคอเรล ปลาแซลมอน ปลาทูน่า, Krill, น้ำมันตับปลา, หอยนางรม, รวมถึงสาหร่ายบางชนิด
พบโอเมก้า-3 ในพืชได้เช่นกัน เช่น ถั่วชนิดต่างๆ, ถั่วเหลือง, เมล็ดแฟล็กซ์(Flaxseed), เมล็ดเจีย(Chia seeds), วอลนัท โดยพบโอเมก้า-3 ในรูปของกรดอัลฟ่าไลโนเลนิก(Alpha-linolenic acid - ALA)
โอเมก้า-3 เป็นส่วนประกอบเยื่อหุ้มเซลล์(cell membrane)ทุกเซลล์ในร่างกาย และยังให้พลังงานแก่ร่างกายอีกด้วย
อีพีเอ (Eicosapentaenoic acid - EPA)
อีพีเอ(EPA)เป็นกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน(polyunsaturated fatty acid) มีบทบาทเป็นสารตั้งต้นของ prostacyclin(PGI2) ซึ่งมีคุณสมบัติขยายหลอดเลือดและยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด นอกจากนั้นอีพีเอ(EPA)ยังมีคุณสมบัติลดการอักเสบที่เกิดขึ้นในร่างกายได้ดีอีกด้วย
ดีเอชเอ (Docosahexaenoic acid - DHA)
ดีเอชเอ(DHA)เป็นกรดไขมันที่เป็นโครงสร้างหลักของเนื้อสมองของเรา โดยเฉพาะสมองส่วนนอก(cerebral cortex) ซึ่งพบดีเอชเอ เป็นองค์ประกอบสัดส่วนถึง 40% ของกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนที่พบในสมอง ช่วยให้สมองทำงานได้อย่างปรกติ ดีเอชเอเป็นส่วนประกอบ 50% ของเยื่อหุ้มเซลล์ประสาท ทำหน้าที่ควบคุมการผ่านเข้า-ออกของสารต่างๆเข้าสู่เซลล์สมอง พบว่าการได้รับดีเอชเอไม่เพียงพอ เกี่ยวข้องกับการเกิดอาการความจำเสื่อม (cognitive decline) และอาการซึมเศร้ารุนแรง
นอกจากนั้น พบดีเอชเอจำนวนมากคิดเป็น 60% ของปริมาณกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนทั้งหมดที่พบในดวงตา โดยพบเป็นส่วนประกอบบริเวณจอประสาทตา(retina) และช่วยควบคุมการทำงานของสารโรดอพซิน(Rhodopsin) ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการมองเห็นในที่มีแสงน้อย
ยังพบดีเอชเอปริมาณสูงในเซลล์อสุจิ(sperm cells)ของผู้ชายอีกด้วย
จากการศึกษาโดย Schaefer and colleagues of Tufts Medical School พบว่า DHA สามารถลด Triglycerides ได้ 20%
ประโยชน์ของน้ำมันปลาจากการศึกษาในมนุษย์
น้ำมันปลาช่วยลดการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
จากการศึกษาขนาดใหญ่ล่าสุดตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ the Journal of the American Heart Association (AHA) เมื่อปี 2019 ซึ่งได้มีการทบทวนผลการศึกษาแบบจับฉลากแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบ(randomized controlled trial) จำนวน 13 การศึกษา รวมผู้เข้าร่วม 127,477 คน สรุปว่าโอเมก้า-3
ช่วยลดการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (Myocardial infarction – MI)
ลดอัตราการตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจ (coronary heart disaease – CHD)
ลดอัตราการตายจากกลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือด(cardiovascular disease) รวมทั้งโรคหลอดเลือดสมอง(stroke) และความดันโลหิตสูง(hypertension)
ชะลอการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ(coronary heart disaease)และโรคหัวใจและหลอดเลือด(cardiovascular disease)
น้ำมันปลาช่วยให้ผู้ที่มีอาการความจำเสื่อมชนิดไม่รุนแรง มีความจำดีขึ้น
การทบทวนการศึกษาแบบ meta-analysis ที่ตีพิมพ์ในปี 2015 สรุปว่าการเสริมดีเอชเอและอีพีเอ ช่วยให้ผู้ใหญ่ที่เริ่มมีปัญหาความจำเสื่อมระยะเริ่มต้น(mild memory complaints)มีอาการดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
น้ำมันปลาช่วยลดไขมันในเลือด
น้ำมันปลาขนาดสูง 2,000 – 4,000 มิลลิกรัมต่อวัน ช่วยลดไขมันชนิดไตรกลีเซอไรด์(Triglycerides)ได้ดีโดยเฉลี่ย 15% และ 20-45% ในผู้ที่มีไขมันไตรกลีเซอไรด์สูง(Triglycerides เกินกว่า 500 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร) โดยไม่มีผลต่อ LDL หรืออาจทำให้ LDL ลดลงได้เล็กน้อย
น้ำมันปลาช่วยลดความดันโลหิต
น้ำมันปลาช่วยลดความดันโลหิตซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง(stroke) การศึกษาแบบ meta-analysis ได้วิเคราะห์ผลการศึกษาแบบจับฉลากแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบรวม 17 ฉบับ ตีพิมพ์ในวารสาร the journal of Hypertension สรุปว่า น้ำมันปลาสามารถลดความดันโลหิตตัวบน(SBP)เฉลี่ย 3.4 มิลลิเมตรปรอท(mmHg) และความดันโลหิตตัวล่าง(DBP)เฉลี่ย 2.0 มิลลิเมตรปรอท
ลดการอักเสบในร่างกาย
น้ำมันปลามีคุณสมบัติที่ดีในการลดการอักเสบ(anti-inflammatory effects)ที่เกิดขึ้น โดยช่วยลดการสร้างสารที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบในร่างกาย ที่สำคัญได้แก่ C-reactive protein (CRP) และ interleukin-6 (IL-6)
น้ำมันปลาช่วยลดการใช้ยาบรรเทาปวดในผู้ที่เป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis - RA)
มีการศึกษาจำนวนหนึ่งพบว่าโอเมก้า 3 ในน้ำมันปลาอาจมีประโยชน์สำหรับผู้ที่เป็นโรคข้ออักเสบชนิดรูมาตอยด์(Rheumatoid arthritis) โดยพบว่าเมื่อให้โอเมก้า 3 ร่วมกับยารักษารูมาตอยด์ ทำให้ผู้ป่วยสามารถลดการใช้ยาบรรเทาอาการปวดลงได้
นอกจากนั้น การศึกษา meta-analysis ที่ได้วิเคราะห์การศึกษาแบบ RCT รวม 17 การศึกษาและตีพิมพ์ในวารสาร the journal "Arthritis & Rheumatology" สรุปว่าโอเมก้า 3 ช่วยลดอาการปวดและอาการข้อติดตอนตื่นนอนในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบชนิดรูมาตอยด์ได้
ช่วยลดอุบัติการณ์คลอดก่อนกำหนด(Preterm birth & Early preterm birth)
จากการทบทวนการศึกษาแบบจับฉลากแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบกับยาหลอก(RCT) ที่ทำระหว่างปี 1989-2018 รวม 70 ฉบับ มีจำนวนอาสาสมัครสตรีที่เข้าร่วมการศึกษารวม 19,927 คน ได้ผลสรุปว่า
โอเมก้า 3 ลดอุบัติการณ์คลอดก่อนกำหนด(อายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์)
โอเมก้า 3 ลดอุบัติการณ์คลอดก่อนกำหนดรุนแรง(อายุครรภ์น้อยกว่า 34 สัปดาห์)
โอเมก้า 3 ลดอุบัติการณ์ทารกที่มีน้ำหนักแรกคลอดต่ำกว่าเกณฑ์(น้ำหนักน้อยกว่า 2,500 กรัม)
โอเมก้า 3 ลดความเสี่ยงการตายและอาการป่วยรุนแรงที่ต้องเข้ารับการบำบัดแบบผู้ป่วยวิกฤติของทารกแรกคลอด(NICU)
นอกจากนั้น มีการศึกษาอีกจำนวนหนึ่ง ที่บ่งชี้ว่าน้ำมันปลาอาจมีประโยชน์ในโรคหรือความผิดปกติต่อไปนี้ อย่างไรก็ดียังคงต้องการการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประโยชน์ต่างๆเหล่านี้
ป้องกันโรคมะเร็ง (Cancer prevention)
ป้องกันโรคความจำเสื่อม(dementia), อัลไซเมอร์(Alzheimer’s)
ป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม (Age-related macular degeneration – AMD)
ตาแห้ง / ต่อมไขมันที่เปลือกตาอุดตัน (Meibomian Gland Dysfunction – MGD)
อาการสมาธิสั้น(Attention-deficit/hyperactivity disorder – ADHD), อาการภูมิแพ้ในเด็ก
ขนาดรับประทาน
วันละ 1 เม็ด พร้อมอาหาร
ขนาดบรรจุ
ขวด 90 เม็ด
เลขสารบบอาหาร
อย.13-2-00763-2-0005