Last updated: 22 พ.ย. 2566 | 935 จำนวนผู้เข้าชม |
ข้อแตกต่างระหว่าง ลูทีน VS บิลเบอร์ลี่ ตาแห้ง ตาล้า ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม จะทานตัวไหนช่วยดี ??
ลูทีน (Lutein)
เป็นสารสีหรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่ารงควัตถุ มีโครงสร้างทางเคมีจัดอยู่ในกลุ่มสารที่เรียกว่าแคโรทีนอยด์ เช่นเดียวกับ ซีแซนธิน, เบต้าแคโรทีน, ไลโคปีน เป็นต้น แคโรทีนอยด์เหล่านี้มักมีสีเหลือง ส้ม หรือแดง เราพบลูทีนมากในผักใบเขียว, ผลไม้สีเหลืองแดง, รวมทั้งไข่แดง ลูทีนมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบ พบลูทีนร่วมกับซีแซนธินเป็นองค์ประกอบในจอประสาทตาของเรา ทำหน้าที่ทำลายอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในจอประสาทตาอันมีสาเหตุจากรังสีอัลตร้าไวโอเลตและคลื่นแสงสีฟ้าในแสงแดดซึ่งเป็นตัวการการเสื่อมทำลายของดวงตา เช่น จอประสาทตา เป็นต้น จึงช่วยป้องกันโรคหรือความผิดปกติของดวงตาหลายชนิด เช่น ต้อกระจก ต้อหิน จอประสาทตาเสื่อม และอื่นๆ
บิลเบอร์รี่ (Bilberry)
เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งในตระกูลเบอร์รี่ ผลเบอร์รี่มีสีม่วง มีสารสำคัญออกฤทธิ์เรียกว่า แอนโธไซยานิน(Anthocyanins) มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์แรงและต้านการอักเสบคล้ายลูทีน จึงช่วยทำลายอนุมูลอิสระและช่วยป้องกันความเสียหายต่อเซลล์ได้เช่นกัน สารแอนโธไซยานินในบิลเบอร์รี่ยังมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตในหลอดเลือดต่างๆ เช่น เส้นเลือดในตา และยังมีรายงานด้วยว่าบิลเบอร์รี่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นในที่มืด โดยออกฤทธิ์เพิ่มการฟื้นตัวของเซลล์รับแสงชนิด Rhodopsin ซึ่งเกี่ยวข้องกับการมองเห็นในที่มีแสงน้อย และบางการศึกษายังรายงานด้วยว่าบิลเบอร์รี่สามารถลดอาการล้าของกล้ามเนื้อตาได้อีกด้วย
โดยทั่วไปแล้ว ทั้งลูทีนและแอนโธไซยานินซึ่งพบในบิลเบอร์รี่นั้นแม้จะมีโครงสร้างทางเคมีต่างกัน แต่มีคุณสมบัติคล้ายกันคือ ล้วนมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบที่ดี มีการศึกษาผลของการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมลูทีนหรือบิลเบอร์รี่ต่อการป้องกันหรือลดความเสี่ยงโรคตาหลายชนิดพบว่าได้ผลดี จึงอาจเป็นทางเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งหรือใช้ร่วมกันเพื่อป้องกันหรือลดความเสี่ยงโรคดังกล่าวได้อย่างปลอดภัยเมื่อรับประทานในขนาดที่เหมาะสม